หัวข้อ
- #สุนัข
- #ขนม
- #สุนัขเลี้ยง
- #ขนมสุนัข
- #ขนมแก้ไขพฤติกรรม
สร้าง: 2024-01-17
สร้าง: 2024-01-17 17:46
สวัสดีค่ะ~ วันนี้เราจะมาพูดถึงของขบเคี้ยวสำหรับสุนัขโดยเฉพาะของขบเคี้ยวสำหรับฝึกพฤติกรรมกันนะคะ! ครั้งที่แล้วเราได้พูดถึงความแตกต่างระหว่างของขบเคี้ยวเพื่อโภชนาการและของขบเคี้ยวสำหรับฝึกพฤติกรรมไปแล้วใช่มั้ยคะ? ง่ายๆ ก็คือ ของขบเคี้ยวเพื่อโภชนาการคือของขบเคี้ยวที่สุนัขทานเพื่อสุขภาพ ส่วนของขบเคี้ยวสำหรับฝึกพฤติกรรมคือของขบเคี้ยวที่ใช้ในการฝึกสุนัขเพื่อแก้ไขพฤติกรรมค่ะ วันนี้เราจะมาบอกเกณฑ์ในการเลือกของขบเคี้ยวสำหรับฝึกพฤติกรรมและแนะนำผลิตภัณฑ์บางอย่างให้ทุกคนได้รู้จักกันค่ะ
เกณฑ์แรกในการเลือกของขบเคี้ยวสำหรับฝึกพฤติกรรมคือ ของขบเคี้ยวที่มีแคลอรี่ต่ำค่ะ เนื่องจากการฝึกนั้นจำเป็นต้องให้รางวัลซ้ำๆ ทุกครั้งที่สุนัขทำพฤติกรรมที่ถูกต้อง ดังนั้นการใช้ของขบเคี้ยวแคลอรี่ต่ำจึงช่วยป้องกันโรคอ้วนได้ดีค่ะ เกณฑ์ที่สองคือ ของขบเคี้ยวที่มีขนาดเล็กและนุ่มค่ะ เนื่องจากสุนัขที่อิ่มเกินไปจะส่งผลให้การฝึกมีประสิทธิภาพลดลง ดังนั้นการใช้ของขบเคี้ยวที่มีขนาดเล็กจึงเหมาะสมกว่าของขบเคี้ยวที่มีขนาดใหญ่ซึ่งทำให้รู้สึกอิ่มง่าย หรืออาจจะเป็นของขบเคี้ยวที่มีความนุ่มจนสามารถแบ่งเป็นชิ้นเล็กๆ ได้ก็ได้เช่นกันค่ะ เกณฑ์ที่สามคือ ต้องมีรสชาติที่ถูกใจสุนัขค่ะ ซึ่งแตกต่างจากของขบเคี้ยวเพื่อโภชนาการตรงที่เราต้องการให้สุนัขรู้สึกอยากที่จะทานของขบเคี้ยวเหล่านั้น จึงควรเลือกของขบเคี้ยวที่มีรสชาติอร่อยๆ ให้สุนัขค่ะ ยิ่งมีกลิ่นหอมหรือเป็นของขบเคี้ยวที่สุนัขชอบก็ยิ่งดีเลยค่ะ
ของขบเคี้ยวสำหรับฝึกพฤติกรรมที่นิยมใช้มากที่สุดก็คือ ทรีต (Treat) นั่นเองค่ะ ซึ่งมักใช้ในการสอนคำสั่งพื้นฐาน เช่น ‘นั่ง’, ‘นอน’, ‘รอ’ เป็นต้น สามารถใช้ในการดึงดูดความสนใจของสุนัขและใช้เป็นรางวัลในการฝึกได้เป็นอย่างดีค่ะ
ที่มา: 핏펫 (Pitpet) (닥터설 트릿 (Doctor Seol Treat) 100 กรัม*4 25,800 วอน)
ขอแนะนำทรีตของพิตเพ็ทค่ะ เนื่องจากมีคำว่า 닥터 (Doctor) อยู่ในชื่อจึงหมายความว่า สัตวแพทย์เป็นผู้คิดค้นสูตรขึ้นมาค่ะ มีทั้งหมด 4 รสชาติ แต่เราขอแนะนำรสชาติออริจินอลค่ะ ผลิตจากนกกระจอกเทศ หนอนแมลงสาบ และคอนญัก ทำให้มีรสชาติอร่อยและดีต่อสุขภาพ แถมยังมีแคลอรี่ต่ำ จึงสามารถให้สุนัขทานได้อย่างสบายใจ นอกจากนี้ยังมีรสชาติอื่นๆ เช่น อเทนชั่น (Attension) (รสชาติหวานเค็ม), 릴렉스 (Relax) (ช่วยให้ผ่อนคลาย), 덴탈 (Dental) (ดูแลสุขภาพช่องปาก) ซึ่งสามารถเลือกซื้อให้เหมาะสมกับความต้องการได้เลยค่ะ
ที่มา: 반려소반 (BanryeosoBan) (แครอท/ฟักทอง/เกาลัดอบแห้ง 7,900 วอน)
ต่อมาขอแนะนำบาร์น แชชิก ทรีต ของบานริโยซoban ค่ะ จุดเด่นที่สำคัญที่สุดคือ เป็นของขบเคี้ยวแบบวีแกนที่ไม่มีเนื้อสัตว์ จึงเหมาะสำหรับสุนัขที่แพ้อาหาร และยังมีแคลอรี่ต่ำ เหมาะสำหรับใช้เป็นของขบเคี้ยวสำหรับลดน้ำหนักด้วยค่ะ หลายคนอาจจะคิดว่าของขบเคี้ยวแบบวีแกนมีรสชาติไม่ถูกใจสุนัข แต่ของขบเคี้ยวชนิดนี้ผลิตจากมันเทศของเกาหลี ซึ่งได้รับการตอบรับว่ามีรสชาติถูกใจสุนัขเป็นอย่างดีค่ะ ขนาดของทรีตก็เล็กกว่าทรีตทั่วไป ทำให้เหมาะกับการใช้ในการฝึกแบบโนสเวิร์ก (Nose Work) มีทั้งหมด 3 รสชาติ ได้แก่ รสเผือกญี่ปุ่น รสเกาลัด และรสดื่มน้ำ ซึ่งสามารถเลือกใช้ให้เหมาะสมกับความต้องการและความชอบของสุนัขได้เลยค่ะ
ที่มา: 펫프렌즈 (Petfriends) (ขนมเปียกสำหรับสุนัข 14 รสชาติ [รวม] 8,500 วอน)
สุดท้ายขอแนะนำ ชุคชุค ทรีต ค่ะ ชุคชุค ทรีต เป็นของขบเคี้ยวที่ผ่านกรรมวิธีการผลิตแบบฟรีซดราย (Freeze-Dried) ซึ่งเป็นวิธีการแช่แข็งอย่างรวดเร็วแล้วจึงนำไปอบแห้งในอุณหภูมิต่ำ ทำให้สามารถรักษาสารอาหารและความสดใหม่ของวัตถุดิบได้เป็นอย่างดีค่ะ มีทรีตให้เลือกหลากหลายชนิด เช่น ไข่แดง ไก่ ปลาแซลมอน ปลาซิวแห้ง ตับวัว ปลาหิมะ ฯลฯ ทำให้สุนัขสนุกกับการเลือกทานค่ะ เราขอแนะนำรสชาติตับวัวนะคะ เนื่องจากตับวัวมีส่วนช่วยในการลดปัญหาคราบน้ำตาและบำรุงผิวหนังค่ะ เนื่องจากของขบเคี้ยวชนิดฟรีซดรายนั้นค่อนข้างเปราะบาง จึงเหมาะสำหรับใช้ในการฝึกมากกว่าการใช้ในการฝึกแบบโนสเวิร์กค่ะ
เราได้แนะนำทรีตเป็นหลัก แต่จริงๆ แล้ว เจอร์กี้ (Jerky) และ ขนมเคี้ยว ก็ใช้ในการฝึกได้เช่นกันค่ะ เจอร์กี้นั้นมีเนื้อสัมผัสนุ่มและสามารถแบ่งเป็นชิ้นเล็กๆ ได้ง่าย จึงเหมาะสำหรับใช้ในการฝึก ส่วนขนมเคี้ยวมีคุณสมบัติช่วยให้สุนัขได้เคี้ยวเล่นคลายเครียด จึงเหมาะสำหรับใช้ในการฝึกเช่นกันค่ะ ขนมเคี้ยวสามารถใช้เป็นรางวัลที่มีประสิทธิภาพในการช่วยแก้ไขพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ได้ด้วยค่ะ ขนมเคี้ยวเป็นของขบเคี้ยวที่มีแคลอรี่สูง ดังนั้นควรระวังเรื่องปริมาณในการให้ทานค่ะ
ของขบเคี้ยวสำหรับสุนัขก็เหมือนกับอาหารสุนัขชนิดเม็ด ที่ต้องคำนึงถึงอายุ สายพันธุ์ และสุขภาพของสุนัขด้วยค่ะ เช่น สุนัขที่ฟันไม่แข็งแรงอาจจะต้องการของขบเคี้ยวที่มีเนื้อสัมผัสนุ่ม สุนัขพันธุ์ใหญ่บางตัวอาจจะรู้สึกว่าขนมเคี้ยวที่มีขนาดเล็กนั้นไม่น่าสนใจ เป็นต้น นอกจากนี้ ควรให้ของขบเคี้ยวเป็นปริมาณที่ไม่เกิน 10% ของปริมาณแคลอรี่ที่สุนัขควรได้รับต่อวันค่ะ หากให้ของขบเคี้ยวมากเกินไปอาจทำให้สุนัขอ้วนหรือมีปัญหาเรื่องภาวะโภชนาการไม่สมดุลได้ ดังนั้นถึงแม้จะรักสุนัขมากแค่ไหนก็ควรให้ของขบเคี้ยวในปริมาณที่พอเหมาะนะคะ! หวังว่าข้อมูลเกี่ยวกับของขบเคี้ยวนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกคนนะคะ ขอบคุณที่อ่านจนจบค่ะ:}
ความคิดเห็น0